ศูนย์รวมใจสำคัญที่สุดของชาวพุทธเมืองแพร่คือ “พระธาตุช่อแฮ” ซึ่งมีความเก่าแก่เกือบ 700 ปี ตามตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 1879-1881 ในสมัยพพระมหาธรรมราชาธิราช (ลิไท) เพื่อใช้ประดิษฐานพระเกศาธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุพระศอกซ้ายของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีขาลด้วย
    ภายในวัดพระธาตุช่อแฮสงบร่มเย็น เต็มไปด้วยแมกไม้ใหญ่ร่มรื่น ส่วนองค์พระธาตุนั้นตั้งอยู่บนเนินอันเป็นเขตพุทธาวาสที่มีระเบียงคดล้อมรอบ ภายในระเบียงคดมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ให้นมัสการ บางคนก็เดินทักษิณาวัตร (เดินเวียนขวา) รอบพระธาตุ 3 รอบ เพื่อเป็นพุทธบูชา
    พระธาตุช่อแฮมีลักษณะเป็นทรงแปดเหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบสอง ตามหลักฐานกล่าวว่าเป็นศิลปะเชียงแสน สร้างด้วยอิฐโบกปูน หุ้มแผ่นทองเหลือง แล้วลงรักปิดทองหุ้มอีกชั้นหนึ่ง สำหรับชื่อของพระธาตุช่อแฮนั้น

   ใครที่เป็นคอธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ชื่นชอบพวกดอกไม้แล้วคงจะต้องมีชื่อ “ทุ่งดอกกระเจียว” อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ อยู่ในสถานที่ที่ต้องไปเยือนเป็นแน่ แต่ใครจะรู้บ้างว่าที่จังหวัดแพร่ก็มีทุ่งดอกกระเจียวให้ชมเช่นกัน
   ดอกกระเจียวที่แพร่ไม่ใช่ดอกกระเจียวสายพันธุ์พื้นเมือง แต่เป็นดอกกระเจียวที่ได้รับการพัฒนาคัดเลือกสายพันธุ์ จนมีมากมายหลายเฉดสี แล้วนำมาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ไว้ภายในศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่ โดยตั้งชื่อให้ใหม่อย่างเพราะพริ้งว่า “ดอกปทุมมา” หรือรู้จักกันในอีกชื่อว่า “ทิวลิปเมืองไทย” โดยในช่วงระหว่างปลายเดือนสิงหาคมเรื่อยไปจนถึงเดือนกันยายน นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมงานเทคโนโลยีทางการเกษตรพืชสวนที่ศูนย์ฯ จะได้ชม “ปทุมมา” หลากสีหลายสายพันธุ์ ซึ่งจะพร้อมกันผลิบานจนดูราวกับเป็นทุ่งดอกทิวลิปในทวีปยุโรปเลยทีเดียว
   ในช่วงเวลานั้น นอกจากจะได้ชมทุ่งดอกปทุมมาอันน่าตื่นตาแล้วภายในพื้นที่กว่า 729 ไร่ของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่ ยังได้รับการตกแต่งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางเกษตรที่สวยงาม โดยจัดสรรเป็นแปลงเพาะสาธิตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปรู้จักกับพืชผักเมืองหนาว ทั้งไม้ดอกไม้ประดับ สวนสมุนไพร สวนพรรณไม้หอม และผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ ที่น่าสนใจมากก็คือที่นี่มีแปลงรวบรวมพันธุ์ไม้ผลไว้มากที่สุด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวทางเกษตรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเกวียนชมสวนการสาธิตการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร อีกทั้งเลือกชมและซื้อผลผลิตทางการเกษตร
   แต่ถ้ามาเที่ยวนอกเหนือช่วงเวลาจัดงาน ซึ่งไม่ตรงกับช่วงที่ดอกปทุมมาบาน (แค่ปีละครั้ง) ที่นี่ก็จะกลายเป็นศูนย์ที่จะให้ความรู้ทางด้านการเกษตรแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี