ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน บ้านไม้ในซอยสุขุมวิท
63 จะคึกคักมีชีวิตชีวา ผู้คน 300-400 คน มารวมตัวกัน เพื่อชมการซ้อมหุ่นกระบอกเรื่อง “ตะเลงพ่าย” ราวกับนัดกันมา ทั้งที่ต่างคนก็ต่างมา
          “เคยรับผู้มาชมการซ้อม 800 คนอยู่ครั้งหนึ่ง” อาจารย์จักรพันธุ์ โปษญกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี พ.. 2543 ผู้เป็นเจ้าของบ้านและโต้โผใหญ่ของการจัดสร้างหุ่นกระบอกเรื่องนี้เล่า สีหน้าบอกชื่นใจ “คนมาเต็มบ้าน บ้านจะพัง ก็เลยเลิก รับแค่ไม่เกิน 400 คน”
          
อาจารย์จักรพันธุ์ เปิดบ้านให้ชมการซ้อมหุ่นฟรีมานานกว่า 6 ปี เพียงแต่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้า ทุกวันอาทิตย์สิ้นเดือน ถนนภายในตัวบ้านอาจารย์จะตั้งหม้อก๋วยเตี๋ยว หม้อกระเพาะปลา และอาหารอร่อยๆ สำหรับผู้ร่วมงานและผู้ชมโดยไม่เสียสตางค์ แถมไอศกรีมและขนมเอร็ดอร่อย
          
เมื่อถนนในบ้านกลายเป็นโรงอาหารมหาชน ลานใต้ถุนของบ้านก็ประยุกต์ขึ้นเป็นเวทีหุ่น ด้านในสุดของใต้ถุนยกพื้นตั้งเครื่องดนตรีวงปี่พาทย์ นักดนตรีกว่า 30 คน นั่งประจำหลังเครื่องดนตรีของตน ด้านหลังนักดนตรียังมีนักร้องหญิงชายและนักพากย์อีก 10 กว่าคน นั่งเรียงกัน รวมทั้งวงกว่า 50 คน ลานใต้ถุนด้านหน้าเว้นว่างให้เป็นที่เชิดหุ่น ผู้มาชมการแสดงนั่งกันเต็มพื้นที่
          
แม้จะเป็นเพียงการซ้อม ไม่มีฉาก มีแต่การใช้แสงสีที่ไม่เต็มรูปแบบนัก ไม่ได้อยู่ในโรงละครที่จะช่วยสร้างบรรยากาศใดๆ แต่ทุกอย่างก็ดูตระการตาและสะกดคนดูให้หลงใหล หนุ่มสาวหลายคนที่ไม่เคยสนใจจะฟังดนตรีไทย จะรู้สึกได้ด้วยหัวใจว่า ดนตรีไทยไพเราะขนาดนี้เชียวหรือ หุ่นกระบอกที่ออกมาเชิดแต่ละตัวช่างงดงาม แฝงความประณีตเข้าขั้นวิจิตรเหนือคำบรรยาย จนหัวใจคนดูซึมซับได้เองว่า ศิลปะไทยประณีตอ่อนโยนและอ่อนหวานเช่นนี้เอง

จับตา สะเทือนอารมณ์
          
พอการแสดงหุ่นมาถึงฉากที่พระสุพรรณกัลยาจะเสด็จไปเมืองหงสาวดี เป็นการแลกชีวิตพระองค์เอง เพื่อที่พระอนุชาคือสมเด็จพระนเรศวร (ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศเป็นเชลยอยู่ที่หงสาวดี) จะได้เสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา พระองค์ยอมถวายตัวเป็นบาทบริจาริกา (ภรรยา) ของบุเรงนอง ขบวนเสด็จจัดขึ้นยิ่งใหญ่สมเป็นขบวนเสด็จขององค์ขัตติยนารี เพลงสีนวล ออกเพลงเร็วสาวสวย แต่เนื้อเพลงแฝงความเศร้าอันไม่อาจอธิบาย เพราะทุกคนรู้แก่ใจดีว่า การไปหงสาวดีครั้งนี้ของพระนางสุพรรณกัลยาเป็นการไปแล้วไปลับ ไม่ทรงกลับคืนมายังอยุธยาอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนอีก
          
ทันทีที่หุ่นพระสุพรรณกัลยาปรากฏ โดยมีอาจารย์จักรพันธุ์ เป็นผู้เชิด สายตาผู้ชมจ้องตามพระนางทุกอิริยาบท หลงใหลกับความงามประณีตของหุ่น เสื้อทรงปักดิ้นเลื่อมและไหมเส้นทองลายเถาเล็กๆ งามละเอียดละออเช่นงานศิลป์จะพึงเป็น เครื่องประดับและศิราภรณ์ขึ้นตัวเรือนเงินประดับอัญมณีแท้ ใบหน้าพระนางวาดโดยอาจารย์จักรพันธุ์ สวยหวานแต่แฝงเศร้า นัยน์ตาแตกต่างจากหุ่นกระบอกทั่วไปที่เพียงเขียนสี แต่นัยน์ตาพระนางเป็นนัยน์ตาแก้วล้อแสง แฝงน้ำใสๆ ดุจมีชีวิต จับตาผู้ชมให้ไม่อาจเบือนไปที่อื่น ขณะเดียวกัน เสียงเพลงแฝงความโศก อารมณ์เศร้าอาลัยอาวรณ์ ส่งหัวใจผู้ชมอ่อนยวบ หลายคนแอบร้องไห้ ยิ่งคุณหญิงกอบลาภ เย็นมะโนช วัย 84 ปี ร้องไห้สะอึกสะอื้นทุกครั้งที่มาชม คณะผู้แสดงชอบแซวท่านด้วยความปลื้มว่า “ท่านร้องไห้ทุกรอบ เหมือนเราจ้างท่านมาร้องเลย”
          
บทที่พระองค์ท่าน (พระสุพรรณกัลยา) เสด็จไปพม่าเป็นบทไม่ยาวมาก” อาจารย์จักรพันธุ์เล่าถึงเบื้อหลังงานประพันธุ์หุ่น “ตะเลงพ่าย” แต่ทุกคนซาบซึ้ง ตอนต๋อง วัลลภิศร์ สุดประเสริฐ ผู้ประพันธ์เนื้อร้องบทหุ่น ‘ตะเลงพ่าย’) แต่งเนื้อ ต้องมาปรึกษาผม เขาจับทำนองเพลง ‘เขมรทุบมะพร้าว’ มาใส่เนื้อร้องเล่าเรื่องพระสุพรรณกัลยาเสด็จไปพม่า ผมบอกต๋องจะดีเหรอ เดี๋ยวจะกลายเป็นเพลงรำวง คือผมจะขัดไว้ก่อน ต๋องบอก ผมอยากให้ทุกคนจำเพลงนี้และร้องเล่นเหมือนเราร้อง ‘ จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง’ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นตำนานที่เด็กร้องเล่นกันมาตั้งแต่ครั้งอยุธยา ด้วยการใช้ทำนองเพลงที่คุ้นหูคนไทย แต่มีความเศร้าที่แฝงอยู่ในทำนองง่ายๆ กินใจแบบเพลงกล่อมเด็ก ต๋องเขามีความลึกซึ้ง พวกเราฟังกันจนชิน แต่เวลาออกซ้อม เอ๊ะ! คนดูทำไมต้องซับน้ำตา” อาจารย์จักรพันธุ์เอ่ยชมลูกศิษย์ผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง
          
คุณต๋องใช้เวลาประพันธ์บทหุ่น ‘ตะเลงพ่าย’ ทั้งเรื่องเพียง 1 เดือน และเป็นผู้ประพันธ์บทหุ่นเรื่อง ‘สามก๊ก’ ตอนโจแตกทัพเรือ ซึ่งอาจารย์จักรพันธุ์เป็นโต้โผจัดแสดงเช่นกันเมื่อปี 2532 โดยใช้เวลาเตรียมการแสดงหุ่นเรื่องนี้ทั้งสิ้น 12 ปี คุณต๋องเป็นผู้ประพันธ์บทร้องทั้ง 2 เรื่อง ทั้งที่ไม่ใช่นักอักษรศาสตร์ เขาเป็นศิลปินเขียนภาพแนวจิตรกรรมไทยประเพณี เมื่อสามารถแต่งร้อยกรองที่แฝงไปด้วยภาษาเก่าได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนในวงการอักษรศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง เคยมีคนนำบทประพันธ์ ‘สามก๊ก’ ที่เขาแต่งไปร้องเล่น โดยเข้าใจว่าเป็นบทประพันธ์เก่าตกทอดมาจากบรรพชน

 
<< Back  |  Home  |  01  |  02  |  03  |  04  |  05  |  06  |  Next >>

บทความจาก HELLO! ปีที่ 5 ฉบับที่ 4 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553