ตอนไปขนหุ่นวังหน้ามาซ่อม เด็กภัณฑารักษ์ที่พิพิธภัณฑ์เขาไม่รู้จักเรา ความจริง ผมแก่กว่า เธอก็บอก คนเอาไปเนี่ย ขี่มอเตอร์ไซค์คว่ำ หัวขาดไป และมีคนแขนหลุด ต่างๆ นานา คือหุ่นที่เก็บอยู่จะแขนขาหลุด หัวหาย เธอก็พูดเหมือนเราเอาไป ให้ระวังนะ เธอคงไม่อยากให้มีการซ่อม หรืออะไรก็ไม่ทราบ เธอก็นั่งเฝ้าอยู่ทุกวัน เราก็เฉยๆ ขนมาก็ไม่มีอะไร”
แต่เหตุการณ์ที่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่ทำไมบังเอิญแล้วก็ช่างบังเอิญได้ถูกที่ถูกทาง ช่วยให้การซ่อมสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี “ของที่ต้องใช้ซ่อม ลูกปัดเอย ผ้าเอย ที่หาสมัยนี้ไม่มีแล้ว ของมันคนละสมัยกัน เราก็หาจนได้โดยบังเอิญ ของบางอย่างบังเอิญมาอยู่บ้านเรา เหมือนมารออยู่ก่อนแล้ว อั๋น-พันธุ์ศักดิ์ จักกะพาก จะไปเมืองนอกทุกปี เขาไปที่อเมริกา ไปเจอมีลูกปัดเก่าๆ จากยุโรป แต่มาขายในอเมริกา พันธุ์ศักดิ์ก็โทรมาจากเมืองนอก...อาจารย์จะเอาไหม...เราก็บอกเอาๆ เขาก็เหมามาเลย พอได้มา ลูกปัดมันเล็กมา เข็มเบอร์เล็กสุดยังแทงไม่เข้า เราก็ไม่รู้จะไปใช้อะไร ก็เก็บไว้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะต้องได้มาซ่อมหุ่นวังหน้า อีกหลายปีถึงได้มาซ่อมหุ่นวังหน้า นั่นคือลูกปัดที่ได้ใช้ หาที่อื่นก็หาไม่ได้”
และเนื่องจากลูกปัดมีขนาดเล็กมา เข็มเบอร์เล็กสุดก็ยังมีขนาดใหญ่ไป ทางผู้ซ่อมต้องทากาวอ่อนๆ ที่ด้าย เป็นการปั้นให้ด้ายแข็งแล้วแยงลงรูลูกปัด จากนั้นจึงร้อยด้ายเข้าเข็มปักเช่นนี้ทีละเม็ดๆ
“ตอนนั้นเราซ่อมหุ่นหลวง หุ่นหลวงจะมาในหีบ มาเป็นเหมือนศพ มีผ้ามีแขนเขินหลุด มีหน้ามาเป็นหีบ พอเปิดหีบออก มีรัดเกล้าอันเล็กนิดนึงหลงมา เราเห็นก็ เอ๊ะ รัดเกล้านี่ไม่ใช่ของหุ่นหลวง แต่เป็นของหุ่นวังหน้า ก็แยกออกมาเก็บไว้ในตู้ กลัวพัง เพราะอันเล็กนิดนึง เราก็ไปพิพิธภัณฑ์ ก็ไปดูๆ ไม่เห็นมีตัวละครตัวไหนใส่รัดเกล้า จะใส่ก็แต่มงกุฏกษัตริย์
ในหีบยังมีกระบังหน้าละครคนอีกอันหลงมา เป็นหนังติดรักประดับกระจก เป็นกระบังหน้าของคน ไม่ใช่ของหุ่น เราก็พูดกับคนของพิพิธภัณฑ์ว่า กระบังหน้าสวยมากเลย ไม่ชำรุดเลย มาอยู่ในหีบหุ่นหลวง ผมขอเก็บเอาไว้ได้มั๊ย เพราะส่งคืนไป ถ้าเก็บไว้ไม่ดีจะเสียหาย และอาคารที่เก็บก็ร้อนมาก ทางโน้นบอกไม่ได้ ต้องคืน ถ้าจักรพันธุ์กลัวจะเสียหาย ก็ขโมย คือเอาไว้เอง ผมบอกไม่กล้าหรอก ภายหลังเราก็ส่งคืนไป แต่รัดเกล้าที่ตั้งไว้ในตู้จนกระทั่งซ่อมหุ่นหลวงเสร็จ ผมลืมไง ก็ติดอยู่ในตู้อย่างนั้น จนกระทั่ง 10 ปีต่อมา ได้มาซ่อมหุ่นวังหน้า ก็นึกถึงรัดเกล้าอันนั้น เราก็ดูๆ หุ่นที่เอามาซ่อม ไม่มีตัวนางตัวใดใส่รัดเกล้าเลย ใส่แต่ชฎา จนซ่อมจะเสร็จแล้วนะ เหลืองวดสุดท้าย ผมก็อธิษฐานนะ ขอให้เจอตัวหุ่นที่ใส่รัดเกล้าอันนี้ ผมไม่เห็นเลยนะ หุ่นที่จะใส่รัดเกล้าอันนี้
งวดสุดท้ายที่เราไปเดินดูหุ่นบนพิพิธภัณฑ์ ทางผู้ใหญ่สั่งให้เอาหุ่นที่เหลือมาเรียงๆ ไว้บนชั้นให้ดู ผมก็ไป ก็มีแต่ตัวไพร่พล ไม่ใช่ตัวที่จะเข้ากับรัดเกล้า เดินๆ คุยๆ กำลังจะกลับ ขาไปสะดุดไม้แหลมที่ใต้โต๊ะ หยิบขึ้นมาเป็นนางเบญกาย หุ่นเจ้าของรัดเกล้า ผมหยิบขึ้นมาขนลุก รัดเกล้าคอยอยู่ที่บ้านผม เขาคอยอยู่ว่าเมื่อไหร่เขาจะมีชีวิต หน้าแทบไม่ต้องแต่งเลยนะ”
มีหุ่นหลวงพระพรตตัวหนึ่ง จัดสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 และได้มีการปิดกระดาษซ่อมไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 อาจารย์จักรพันธุ์เสี่ยงล้างกระดาษที่ปิดหน้าออก เจอหน้าที่แดงที่เก่ากว่าอยู่ข้างล่าง ใบหน้าที่ลอกสวยสมบูรณ์ แม้โดนน้ำ สีที่ทาไม้ก็ไม่หลุดลอกทั้งที่เป็นเพียงสีฝุ่นโบราณ
หุ่นทุกตัว อาจารย์จัดซ่อมอย่างประณีต ด้วยหัวใจที่รู้สึกว่า “เรานึกอยู่ตลอดเวลาว่า นี่คืองานที่เราทำไปแล้ว เรากลับมาซ่อมไง ตอนนั้นทางกรมศิลปากรบอกมีคนอยากจะซ่อมหุ่นมากมาย และขอยื่นมือเข้ามา แต่กรมศิลปากรไม่เลือก เราไม่ได้ไปเรียกร้องอะไร ก็อยู่ในรูนี้” อาจารย์ชอบเรียกบ้านตัวเองว่า “รู” “เขาก็โทรถามว่าจะมาซ่อมได้หรือยัง คือหลังจากซ่อมหุ่นหลวงแล้วเขาก็พอใจ อยากจะให้เราซ่อมหุ่นวังหน้า โทรมาบางช่วง ผมไม่มีเด็กไง พอช่วงนั้นเด็กเยอะเต็มบ้าน ช่างฝีมือดีๆทั้งนั้น เราก็รับซ่อม”
บรรยากาศบ้านช่างไทยโบราณ
บ้านอาจารย์มีช่างฝีมือหลายแขนงมารวมตัวกัน เพื่อจะได้ฝึกฝนทักษะทางศิลปะและแลกเปลี่ยนความรู้กัน ทุกคนต่างมองตัวเองเป็นลูกศิษย์อาจารย์ มีทั้งช่างเขียน ช่างปั้น ช่างปัก นักดนตรีไทย ไปจนถึงนาฎศิลป์
“มีอยู่คนหนึ่ง เราเรียกกันเล็ก โลซก (อุษา ศรีปราโมช)” คุณต๋องบอกว่า “เป็นรูปเขียนของอาจารย์ เพื่อนมาเชิดหุ่นให้อาจารย์ เขาอยากรู้จักอาจารย์ก็หลอกเพื่อนว่า จะขอมาหัดเชิดหุ่น กะจะตามมาวันเดียวแล้วไม่มาอีก อยู่กันมาจนทุกวันนี้ จากเชิดหุ่นไม่เป็น กลายเป็นเชิดเก่งมาก เขาชื่อเล็ก เชิดโลซก เราเลยเรียก “เล็ก โลชก” ตอนเรียนเชิด เรียนช้ามาก เรียนแล้วเหมือนไม่มีทางจะเป็นแต่ก็เหมือนม้าตีนปลาย พอเป็น เชิดได้ดีมาก ตัวไม่ขยับมาก แต่ลีลาหุ่นไปเยอะ ทีวีทุกช่องที่ออกข่าวการแสดงหุ่น “สามก๊ก” แพร่ภาพหุ่นตัวที่เล็ก โลซกเชิด”
อาจารย์จักร์พันธุ์ยังเอ่ยชมนักร้องเพลงไทยเดิม นักดนตรี และลูกศิษย์ในบ้านอีกหลายคน แล้วก็พึมพำว่า “เหมือนเราได้ยอดหัวแหวนมารวมกัน”
|