เหตุบังเอิญหรือเบื้องบนบันดาล
          
ผมว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์บางอย่างใช้ให้ผมทำ” คุณต๋องซึ่งนั่งข้างๆ อาจารย์จักรพันธุ์อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ เขาเชื่อเสมอว่าที่เขาประพันธ์ทุกอย่างเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้เป็นไป “พอเราเล่นหุ่นเรื่อง ‘สามก๊ก’ เสร็จ ครูดนตรีที่ร่วมเล่นด้วยกันก็ยังแวะมาที่บ้านอาจารย์ ยังมานั่งกินก๋วยเตี๋ยว ครูบุญยงค์ เกตุคง (ผู้คุมวงปี่พาทย์) บอก...พ่อต๋อง แต่งเรื่องใหม่ขึ้นมาเล่นกันดีกว่า ไม่ใช่ผมอยากได้ตังค์นา มันสนุกดี ผมบอก ผมเข้าใจครู แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆนะ ‘สามก๊ก’ ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ทำเรื่องใหม่ถ้าสู้ไม่ได้ เราก็ฆ่าตัวเอง มันนึกไม่ออก
          
จ่าไก่ (ครูประยงค์ กิจนิเทศ) แกเป็นคนตีตะโพน ศิษย์รุ่นน้องครูก็พูดขึ้น ต๋อง...ทำเรื่องตะเลงพ่ายสิ สนุก! พอได้ยิน ผมก็จุดประกาย เราก็แต่งตะเลงพ่ายกันมา ครูเพลงก็มาช่วยกันบรรจุเพลง จนครูได้จากเราไป (หมายถึงครูบุญยงค์ เกตุคง ครูบุญยัง เกตุคง และครูจำเนียร ศรีไทยพันธ์ รวมทั้งครูชื้น สกุลแก้ว) หุ่นเรื่องนี้ก็ยังไม่เสร็จ เราก็เล่าปฐมเหตุที่เกิดหุ่นเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง พูดที่ไหนก็พูดอย่างที่เล่า พอเริ่มซ้อมๆ จ่าไก่แกถามผม ‘พูดอย่างนั้นจริงเหรอ ว่าให้เล่นเรื่องตะเลงพ่าย เพราะผมไม่รู้จักเรื่องตะเลงพ่าย ผมเพิ่งมารู้จักก็ตอนซ้อมกันนี่’
          
ผีหลอกอาจารย์จักรพันธุ์และคุณต๋องกลางวันแสกๆ! จ่าไก่ไม่เคยรู้จักเรื่องนี้ แล้ววันนั้นใครพูด!
          
ผมถึงบอกคงมีใครดลใจให้จ่าพูดขึ้นมาวันนั้น”
          
บทประพันธุ์ ‘ตะเลงพ่าย’ เล่าถึงวีรกรรมในการสร้างชาติของวีรบุรุษวีรสตรีไทย 3 พี่น้อง คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และพระสุพรรณกัลยา ปลุกให้คนไทยระลึกถึงพระคุณของพระมหาวีรกษัตริย์ผู้สร้างชาติ และการระลึกถึงบุญคุณบรรพบุรุษ เป็นพฤติกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ บทประพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะแฝงจุดประสงค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวถึงบุคคลที่คนไทยรับถือว่าศักดิ์สิทธิ์
          
ตะเลงพ่ายบอกถึงความเสียสละของบรรพบุรุษไทย คนโบราณสร้างชาติมาแบบรักชาติ ไม่มีอัตตา”
คุณต๋องบอก “สมเด็จพระนเรศวรสวรรคตในป่า กลางสนามรบ ตลอดพระชนม์ชีพทรงออกรบปกป้องประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับราชอาณาจักร”
          
บทประพันธ์เรื่องนี้ยังได้กล่าวถึงวีรกรรมของวีรสตรีนาม’พระสุพรรณกัลยา’ ที่ทรงต้องแลกชีวิตพระองค์เองในการกอบกู้อิสรภาพของกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นวีรสตรีที่ไม่เคยมีใครนึกถึงวีรกรรมของพระองค์เลยตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา
          
แต่ก่อนไม่มีใครเคยนึกถึงความสำคัญของพระสุพรรณกัลยา ผมเป็นคนแรกที่นึกถึงเรื่องนี้ และผมเชื่อว่า ไม่ได้คิดเอง ผมว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจเรา พระองค์ทรงมีบทบาทในการร่วมกอบกู้แผ่นดินไทย”
          
ตามประวัติศาสตร์ไทย พระสุพรรณกัลยาเสด็จไปเป็นเชลยของหงสาวดีพร้อมกับสมเด็จพระนเรศวร แต่ในบทประพันธ์ของคุณต๋อง พระสุพรรณกัลยาเสด็จไปยังหงสาวดีภายหลังเพื่อแลกชีวิตพระองค์เองกับสมเด็จพระนเรศวร หลังคุณต๋องประพันธ์เรื่องนี้ ได้เริ่มมีการกล่าวถึงพระสุพรรณกัลยา ในบทประพันธ์ของหลวงปู่โง่น และเกิดกระแสบูชาพระสุพรรณกัลยาตามแพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ผู้ก่อสร้างอาณาจักรกิฟฟารีน

20 ปีที่ลงแรงลงใจ
          
แม้บทละคร ‘ตะเลงพ่าย’ จะใช้เวลาแต่งเพียง 1 เดือน แต่การบรรจุเพลง เขียนฉาก และสร้างหุ่นกระบอกมากกว่า 200 ตัวเพื่อใช้เล่น ได้ใช้เวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้ก็ร่วม 20 ปี หุ่นเรื่องนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์และยังไม่รู้จะเล่นจริงได้เมื่อไร แม้ผู้มาชมการซ้อมจะรู้สึกว่าทุกอย่างสมบูรณ์ ดูไปก็ร้องไห้กันไปหลายรอบ และน่าจะเล่นได้แล้ว แต่โต้โผเรื่องนี้กะว่าต้องใช้เวลาอีกราว 3 ปีกว่าจะพร้อมแสดงกันจริงๆ
          
ที่เล่นใต้ถุนบ้านทุกเดือน เล่นกันไม่มีฉาก” อาจารย์จักรพันธุ์เล่าต่อว่า “แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเขียนฉากใหญ่ๆมากมาย ซุกซ่อนอยู่ตามซอกมุมของบ้าน มีฉากไหว้ครู ฉากรบ ฉากท้องพระโรงไทย ท้องพระโรงพม่า ฉากกำแพงแก้วเมืองพม่า ฉากที่ใช้กลไกลหมุนขึ้นมาเป็นกรุงศรีอยุธยา ให้เห็นความงดงามดังเมืองทองของอยุธยาครั้งกระโน้น คาดไว้ว่าตอนเกริ่นเรื่องจะเล่นอยู่กับฉากก่อน หุ้นจะยังไม่ออก ฉากสำคัญๆเขียนไปเยอะแล้ว เหลือฉากเดียว คือฉากยุทธหัตถี เราต้องเขียนรูปชนช้าง ยังไม่เริ่มเขียน นอกนั้นมีครบเลย ก็เหลือฉากต้นไม้อะไรนิดๆ หน่อยๆ”
          
หุ่นเรื่อง ‘ตะเลงพ่าย’ จะไม่เล่นยืนฉากเดียวตายตัว แต่จะมีการเปลี่ยนฉาก จัดทำเป็นฉากลอยตัวชิ้นเล็กๆ เลื่อนมาต่อกันหรือซ้อนกัน แต่ละฉากได้รับการวาดอย่างประณีต เมื่อเห็นจะทึ่งกับความประณีต
          
ผลงานของอาจารย์จักรพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนภาพเหมือน (พอร์เทรต) ภาพเขียนนางในวรรณคดี หรือภาพเขียนแนวจิตรกรรมไทยประเพณี จะมีการใช้เส้น สีผนวกกับการจัดองค์ประกอบภาพที่สร้างบรรยากาศกึ่งฝันกึ่งจริง แฝงความอ่อนหวาน และความประณีตอันวิจิตรเสมอ มีเอกลักษณะเฉพาะตัวที่ใครเห็นก็บ่งบอกได้ว่า นี่ผลงานอาจารย์จักรพันธุ์ จึงพูดได้ว่า อาจารย์เป็นผู้กำเนิดศิลปะสกุลใหม่ คือสกุลช่างจักรพันธุ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ความประณีตละเมียดละไมถือเป็นวิญญาณที่มีอยู่ในงานศิลปะช่างสกุลนี้ และเมื่ออาจารย์เป็นโต้โผคุมศิษย์สร้างหุ่นกระบอก สร้างฉาก และอื่นๆ ทุกอย่างจึงประณีตอย่างยิ่ง และในหัวใจลึกๆ ของผู้สร้างและศิษย์ต่างต้องการจะทิ้งผลงานให้เป็นศิลปะของแผ่นดิน อาจารย์และศิษย์ต่างคิดเหมือนกันว่า “ต้องการได้งานศิลปะที่ดีต้องไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง ต้องให้เป็นงานอมตะตกทอดสู่คนรุ่นหลัง”
          
ความละเอียดของอาจารย์ไม่มีใครละเอียดถูกใจอาจารย์” คุณต๋องเล่า “ทุกคนว่าดีแล้ว อาจารย์ยังเห็นที่ติ อย่างพระพักตร์หุ่นกระบอกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำอยู่ 4 หนกว่าจะลงตัว อาจารย์มองยังไม่ดีช่วงนี้ๆ ก็แก้ไปเรื่อย อาจารย์ติ ผมก็เถียง เถียงแล้วก็ลองไปแก้ดู ก็จริงอย่างที่อาจารย์บอก เถียงอาจารย์ถึงไม่เคยชนะแบบชนะจริงๆ มีชีวิตมา มีครูบาอาจารย์มาหลายคน แต่อาจารย์คนนี้แม่นมาก”
          
คุณต๋องเป็นศิษย์อาจารย์จักรพันธุ์ตั้งแต่สมัยเรียนที่ศิลปากร สมัยนั้น อาจารย์จักรพันธุ์อายุ 27-28 ปี
เป็นอาจารย์พิเศษที่คณะมัณฑนศิลป์ ต่อมาอาจารย์ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในจิตรกรผู้ซ่อมจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ ห้องที่ ๑๕๙ ที่พระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คุณต๋องชอบโดดเรียนไปดูอาจารย์จักรพันธุ์ซ่อมภาพจิตรกรรมวัดพระแก้ว ภายหลังก็มาช่วยอาจารย์ทำงาน และอาจารย์หางานเขียนภาพให้บ้าง นานวันก็กลายเป็นผู้ช่วยอาจารย์ดุจมือที่
2

 
<< Back  |  Home  |  01  |  02  |  03  |  04  |  05  |  06  |  Next >>

บทความจาก HELLO! ปีที่ 5 ฉบับที่ 4 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553