แต่สำหรับเมืองไทยของเรานั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่า องุ่นเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เป็นที่คาดเดากันว่าน่าจะเป็นสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเมื่อพระองค์ท่านเสด็จประพาสยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ก็มักจะนำพันธุ์ไม้แปลกๆเข้ามาในประเทศไทยด้วยเสมอ องุ่นเป็นผลไม้ผลเดี่ยวแต่อยู่รวมกันเป็นพวง เป็นพืชยืนต้นแบบไม้พุ่มเลื้อยเนื้อแข็ง มีลำต้นและกิ่งถาวร ถ้าปล่อยให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติจะเลื้อยไปเลื้อยมาเกาะกิ่งไม้ ใบหยักสวยงามดอกเมื่อบานเป็นสีขาว ผลย่อยรูปกลมรีและ ฉ่ำน้ำ มีผิวนวลเกาะและรสหวาน มีสีเขียว ม่วงแดง และม่วงดำแล้วแต่พันธุ์ องุ่นรับประทานสดจะเปลือกบาง เนื้อเยอะและกรอบ ไร้เมล็ดหรือมีเมล็ด 1-4 เมล็ด แต่องุ่นสำหรับทำไวน์เปลือกจะหนา เนื้อจะหนืด รสชาติหวานจัดเมล็ดเยอะ และกลิ่นก็อาจหอมจนฉุน การรับประทานองุ่นช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะและบำรุงกำลัง คนที่ผอมแห้งแก่ก่อนวัยไร้เรี่ยวแรงหากรับประทานองุ่นเป็นประจำจะแข็งแรงขึ้นมาได้ ดูสวนองุ่นแล้วรถจะพามายังโรงไวน์ ที่นี่คุณจะได้เห็นขั้นการเดินทางของพวงองุ่นจนกลายเป็นน้ำอมฤตสีม่วงแดงในขวดเข้ม คุณอ้วน ณัฐชัย คำภานุช มัคคุเทศก์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ นำเราเข้าชมกิจการไวน์เนอรีภายใต้แบรนด์ Pirom และ PB ที่ทำกันมา 7 ปีแล้ว ในโรงบ่มไวน์อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส เราเห็นถังไม้โอ๊กขนาด 225 ลิตร ขนาดยักษ์ 10,000 ลิตร และแบบถังสเตนเลสขนาดเท่ากัน วิธีการทำไวน์ตามที่ได้แอบขโมยมาจากโรงไวน์พีบี (เพ้อไปว่าจะเอามาทำเองที่บ้าน) มีขั้นตอนดังนี้คือ เริ่มจากการเก็บองุ่นสด ๆ จากต้น แยกกากเช่นก้านที่ติดมาออก บีบองุ่นให้แตกหมักสกัดสีสำหรับไวน์แดง ( ผิวขององุ่นประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ Reseratrol สามารถรักษาภาวะอักเสบ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ตายก่อนเวลาอันควร และช่วยทำให้อายุยืนยาวขึ้น ไวน์แดงจึงถูกยกย่องว่ามีประโยชน์มากกว่าไวน์ขาวด้วยคุณสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ เพราะไวน์แดงใช้ผิวขององุ่นเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต ) สำหรับไวน์ขาวก็ส่งตรงไปคั้นได้เลย หมักกับยีสต์ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม กรองหยาบ แล้วถ่ายมาโอนมาบ่มในถังโอ๊กเพื่อให้ได้กลิ่นไม้โอ๊กหรือหมักในถังสเตนเลสเพื่อให้ได้กลิ่นที่สดกว่า ออกฟรุตตี้นิดๆ