เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเวลารับเงินค่าบริการหรือรายได้จากการทำ Part-Time เรามักถูกหักเงินส่วนหนึ่งไว้ในชื่อของ “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” ซึ่งการหักนี้ไม่ได้เป็นแค่ขั้นตอนทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความโปร่งใสในระบบภาษีของประเทศ บทความนี้ คุณจะได้รู้จักภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร ตั้งแต่ความหมาย กระบวนการทำงาน และเหตุผลสำคัญที่ทำให้การหักภาษีนี้เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทั้งผู้จ่ายและผู้รับ
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคืออะไร เข้าใจเหตุผลทำไมต้องถูกหัก ?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร ?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หมายถึง การที่ผู้ว่าจ้างทำการหักภาษีจากรายได้ของผู้รับก่อนที่จะจ่ายเงินให้ โดยจำนวนเงินที่ถูกหักนี้จะถูกส่งต่อให้กรมสรรพากรเพื่อนำไปใช้เป็นเครดิตภาษีเมื่อต้องยื่นภาษีในปีถัดไป ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้ล่วงหน้าบางส่วน และยังช่วยลดภาระการชำระภาษีของผู้รับในช่วงปลายปีอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ทำงาน Part-Time และฟรีแลนซ์ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากลักษณะของงานเหล่านี้มักจัดอยู่ในหมวดหมู่ที่ต้องมีการหักภาษี เช่น งานบริการ การโฆษณา หรือการรับจ้างทำของ ทั้งนี้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะช่วยให้ผู้ทำงานสามารถวางแผนการเงินและจัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม
ประเภทของงานที่เกี่ยวข้องกับการหักภาษี ณ ที่จ่าย
งานที่ต้องมีภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีอะไรบ้าง ? หนึ่งในคำถามยอดนิยมของคนทำงานฟรีแลนซ์ พาร์ทไทม์ และงานนอกเวลาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับภาษีส่วนนี้สักเท่าไร นี่คือคำตอบของประเภทงาน ซึ่งมีหลากหลายและขึ้นอยู่กับลักษณะของรายได้ โดยแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
- ค่าบริการ (3%) เช่น การจัดอีเวนต์ การถ่ายภาพ และการออกแบบกราฟิก
- ค่าโฆษณา (2%) เจอได้จากประเภทงานการจ้างอินฟลูเอนเซอร์หรือรีวิวสินค้าในโซเชียลมีเดีย
- เงินรางวัลและค่าจ้างการแสดง (5%) เช่น การรับเงินรางวัลจากการแข่งขัน หรือการแสดงในรูปแบบต่าง ๆ
- ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ (5%) เช่น การเช่าสำนักงาน หรือสถานที่ต่าง ๆ ที่ผู้เช่ามีสิทธิ์ในการถือกุญแจ
- ค่าขนส่ง (1%) เช่น การจ้างบริษัทโลจิสติกส์เอกชนเพื่อส่งสินค้า
นอกจากนี้ ผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้แก่ผู้รับเงินทุกครั้ง โดยเอกสารนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ผู้รับสามารถนำไปใช้ยื่นภาษีหรือขอคืนภาษีในอนาคตได้
วิธีจัดการภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับคนทำงาน Part-Time
สำหรับคนทำงาน Part-Time อาจยังคงสับสนกับวิธีการจัดการภาษีหัก ณ ที่จ่าย หากคุณเองก็เป็นมือใหม่ และต้องการทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นเรื่องง่ายและโปร่งใส ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
1. ตรวจสอบอัตราภาษีที่เกี่ยวข้อง
ก่อนรับงานใด ๆ ควรตรวจสอบว่า รายได้จากงานนั้นเข้าข่ายต้องถูกหักภาษีในอัตราเท่าใด โดยสามารถสอบถามจากผู้ว่าจ้างหรือศึกษาจากกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น รายได้จากค่าบริการจะถูกหักในอัตรา 3% หรือรายได้จากค่าโฆษณาจะถูกหักในอัตรา 2%
2. เก็บหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย หรือที่เรียกว่า “แบบ 50 ทวิ” เป็นเอกสารสำคัญที่ผู้ว่าจ้างต้องจัดทำและมอบให้ผู้รับเงินทุกครั้งหลังการจ่ายค่าจ้าง โดยเอกสารนี้แสดงรายละเอียดของจำนวนเงินที่ถูกหักภาษีไว้ ซึ่งผู้ทำงานสามารถนำไปใช้ในการยื่นภาษีประจำปีหรือขอคืนภาษีได้ ดังนั้น ควรเก็บเอกสารนี้ไว้ในที่ปลอดภัยและจัดเรียงให้เป็นระเบียบ เพื่อความสะดวกในการใช้งานภายหลัง
3. วางแผนการเงินให้รอบคอบ
การรู้ล่วงหน้าว่ารายได้ที่ได้รับจะถูกหักภาษีในอัตราเท่าใด ช่วยให้ผู้ทำงานสามารถคำนวณรายได้สุทธิได้แม่นยำขึ้น เช่น หากมีรายได้ 10,000 บาท และต้องถูกหักภาษี 3% จะเหลือรายได้สุทธิ 9,700 บาท การวางแผนค่าใช้จ่ายจากรายได้สุทธิจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ ควรสำรองเงินส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือสำหรับการจ่ายภาษีเพิ่มเติมในอนาคตหากจำเป็น
การทำความเข้าใจเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ทำงาน Part-Time และฟรีแลนซ์ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง แต่ยังช่วยให้สามารถจัดการการเงินและวางแผนอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ทำงาน Part-Time หรือฟรีแลนซ์ อย่าลืมศึกษาเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย อย่างละเอียด เพื่อไม่พลาดสิทธิประโยชน์และสามารถจัดการรายได้ของคุณได้อย่างมั่นใจ ส่วนใครที่กำลังอยากได้งานพาร์ทไทม์เสริมช่วงเสาร์-อาทิตย์ เราขอแนะนำให้สร้าง Super Resume และค้นหาตำแหน่งงานที่ใช่ผ่าน JOBTOPGUN ได้เลย รับรองว่าคุณจะได้งานดี ๆ พร้อมรายรับที่ปังแน่นอน ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันฟรีได้แล้ววันนี้ทั้งระบบ iOS และ Android หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-853-6999
