ดูเหมือนว่า
แก่งคุดคู้
จะทำให้เชียงคานเป็นที่รู้จัก สายน้ำโขงที่ลดระดับลง
ในช่วงฤดูแล้งไหลกระทบแก่งหิน หาดทรายกว้าง และยอด ภูควายเงิน
ทะมึนอยู่เบื้องหลัง
ทำให้เป็นภาพอันลงตัว วันนี้ระดับน้ำขึ้นสูงเกินกว่าจะมอง
เห็นแก่ง แต่เสียงอื้ออึงของสายน้ำก็ดังอย่างน่าเกรงขาม
"ตาจื่งขื่งดังแดงนอนตะแคงจดฟ้า
เด็กๆ เล่นสะบ้าอยู่ในฮูดัง" คน
เฒ่าคนแก่ในเมืองเชียงคานจะท่องประโยคนี้ให้ฟังเมื่อพูดถึงแก่งคุดคู้
เล่ากัน
ว่าตาจื่งขื่งอยากกั้นลำน้ำโขง จึงแบกหินลงมาทีละก้อน แต่มาถูกนายเซียง
เหมี้ยงหลอกให้ทำหาบแบกลงมา และบอกให้เอาไม้เฮี้ย ซึ่งเป็นไม้บางๆ
มาทำ
หาบเพื่อจะได้แบกทีละสองก้อน เช่นนี้ไม้จึงหักบาดบ่าตาจื่งขื่งตายนอนขวาง
เป็นแก่งกลางลำน้ำ
"เมื่อก่อนนี้น่ะเล่ากันว่าน้ำโขงกับน้ำน่านนี้ไม่ถูกกันหรอก
ถ้าเอามาใส่ไว้ในขวด
เดียวกันขวดจะแตก" คุณยายบุญมีผู้เล่าตำนานแก่งคุดคู้เล่าให้ผมฟัง
"สาเหตุ
ก็เพราะปลาบึก น้ำโขงกับน้ำน่านตกลงกันว่าใครลงทะเลก่อนปลาบึกจะขึ้นทาง
นั้น น้ำโขงฉลาดกว่า ต่ำทางไหนไปทางนั้น จึงถึงทะเลก่อน"
คุณยายเล่าด้วย
น้ำเสียงแจ่มใส ผมยืนดูแก่งคุดคู้ จินตนาการไปกับตำนานที่ได้ฟัง
วันกลางสัปดาห์อย่างนี้บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบ
รถเข็นขายกาแฟและเมี่ยงคำ
เสียบไม้จอดคู่กันอยู่อย่างเหงาๆ สายน้ำโขงดูกว้างใหญ่ขุ่นแดง
ก่อนหน้านี้มีลำ
น้ำหลายสายไหลมาสมทบ แต่ที่ผมเห็นมีเพียงสายน้ำสีเดียว ไม่มีความแตก
ต่าง สายน้ำจะมีสีต่างกันก็เพียงชั่วครู่ ไม่ช้าก็จะรวมเป็นสีเดียว
แม้ว่าบางครั้ง
จะแยกย้ายกันเพราะมีเกาะกลางลำน้ำ เมื่อนั้นลำน้ำจะแยกเป็นสองสาย
แต่ก็เพียง
ระยะทางสั้นๆ และสายน้ำก็จะมารวมกันอีกครั้งเมื่อพ้นเกาะกลาง
ดูคล้ายจะเป็น
มิตรภาพอันมั่นคง เห็นจะเป็นเพียงมิตรภาพระหว่างมนุษย์กระมัง
ที่มัก
จะแตกแยกเป็นสองสีเสมอ <
ย้อนกลับ/หน้าถัดไป
>
|