|
จากหนองคายผมจอดรถนั่งรถเมล์ข้ามสะพานมิตรภาพสู่
เมืองเวียงจันทน์
"บ้านน้องอยู่เลยแยกนี้ไปไม่ไกล"
ผู้ชายผิวคล้ำผู้ขับขี่รถสามล้อเครื่อง หรือที่
เราเรียกว่าสกายแล็บ ซึ่งเราเหมาจากบริเวณด่านเข้าเมืองในราคา
๓๕๐ บาท
กับการตระเวนเมืองเวียงจันทน์ชื่อ ท้าวสมใจ
ไชยวงสา
พูดช้าๆ กับผม ซึ่ง
นั่งคู่กับเขาอยู่ข้างหน้า เขาพูดพลางแอบข้างทางหยุดหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว
"แวะ
กินเฝอกันก่อน" เฝอเนื้อมาในชามใหญ่ รสชาติดี ผักสารพัดในถาด
โทรทัศน์
รับจากเมืองไทยชัดแจ๋ว
"ทีวีเรามี
๓ ช่อง" สมใจพูด "แต่ส่วนใหญ่เป็นตลกที่มีคติสอนใจ
ละครอย่าง
ทีวีเมืองไทยเราไม่มีหรอก" สมใจพาเรามาที่ วัดศรีเมือง
เป็นแห่งแรก เวียง
จันทน์ไม่แตกต่างไปจากที่ผมเคยมาเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วมากนัก
ถนนกำลังสร้าง
ผู้คนยังนุ่งผ้าซิ่นเป็นเอกลักษณ์ เจ้าหน้าที่สาวบริเวณด่านสวมซิ่นผืนงาม
นัก
เรียนนุ่งผ้าซิ่นสีดำเสื้อขาว
"ถนนในเมืองไม่ดี
แต่ตอนนี้ถนนนอกเมืองดีหมดแล้วนะครับ" สมใจอธิบาย
"วัดนี้เป็นที่ตั้งหลักเมือง
คนเคารพมาก"
นักเรียนชายหญิง
๔-๕ คนกำลังไหว้พระ กลิ่นธูปหอมกรุ่น ผมเดินออกจาก
โบสถ์พร้อมพวกเขา ขณะผมปีนขึ้นนั่งคู่สมใจบนสกายแล็บ นักเรียนหญิง
ในชุดผ้าซิ่นสีดำ เสื้อขาว มัดผมเรียบร้อยกลุ่มนั้น เปิดประตูรถบีเอ็มดับเบิลยู
สีดำรุ่นล่า ขับแซงหน้าเราออกไป
|
จากนั้นสมใจพาเรามาถึง
วัดพระแก้ว
หรือหอพระแก้ว ซึ่งอยู่บนถนนเดียว
กับที่พักประธานประเทศ หอพระแก้วสร้างใน
พ.ศ. ๒๑๐๘ โดยพระเจ้า
ไชยเชษฐาธิราช เพื่อประดิษฐานพระแก้วมรกต ป้ายหน้าวัดเขียนไว้ว่า
พระแก้วมรกตจากไปตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๗๙ ทุกวันนี้หอพระแก้วเป็นที่เก็บของ
โบราณ บนบันไดทางขึ้นผมเดินสวนกับนักท่องเที่ยวฝรั่งหลายกลุ่ม
ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหอพระแก้วคือ
วัดสีสะเกด
วัดสีสะเกดถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์
สร้างใน ค.ศ. ๑๘๑๘ โดยเจ้าอนุวงศ์กษัตริย์องค์สุดท้าย หลังสร้างเสร็จ
ประมาณ ๑๐ ปีก็ถูกต่างชาติเข้ามาทำลาย กระทั่งสงครามสงบ จึงได้บูรณะ
ใหม่ในปี ค.ศ. ๑๙๓๕
จักรยาน
มอเตอร์ไซค์ วิ่งขวักไขว่ ไฟแดงมีหลายแห่งแต่รถไม่ติด สายลมพัด
สดชื่น เมฆดำทะมึน เพียงข้ามลำน้ำสายหนึ่งเราก็พบกับอีกประเทศหนึ่ง
ซึ่ง
ดูเหมือนจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับประเทศที่อยู่อีกฟากฝั่งของลำน้ำ
ขณะเรา
โลดแล่นไปพร้อมกับโลกที่หมุนอย่างรวดเร็ว อีกฟากลำน้ำเลือกที่จะเดินไป
อย่างช้า ๆ
<
ย้อนกลับ/หน้าถัดไป
>
|